อารยธรรมกรีก-โรมัน


อารยธรรมกรีก
• กำเนิดบริเวณชายฝั่งทะเลอีเจียน หมู่เกาะต่าง ๆ และดินแดนกรีซ
• สภาพภูมิประเทศเป็นหุบเขา ทำให้แต่ละรัฐจึงเป็นอิสระต่อกัน เป็นรัฐเล็ก ๆ มากมาย
• เกาะครีต Crete เป็นเกาะใหญ่และมีความสำคัญของกรีก
กรีกสมัยก่อนประวัติศาสตร์
• 4000 B.C. มีการค้นพบเครื่องมือ และหลักฐานการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน รวมถึงป้อมปราการ
• บนเกาะครีต มีการใช้โลหะทองแดง สำริด
กรีกสมัยประวัติศาสตร์
• 2000 B.C. กำเนิดอารยธรรมไมนวน Minoan การค้นพบดินเผาจารึกตัวอักษรบนเกาะครีต มีการก่อสร้างวังใหญ่โต
• ต่อมาถูกรุกรานจากพวก ไมซิเนียน Mycenaean และต่อมาเป็นพวก ดอเรียน Dorian
• 1120-800 B.C. ถือเป็นยุคมืด การค้าขายถูกพวกฟินิเชียนเข้ามาขยายอิทธิพล ***** โฮเมอร์ และอิเลียด โอดิสซีย์ เกิดในช่วงนี้ *****
• 800 B.C. ยุคคลาสสิค มีลักษณะเป็นนครรัฐ เรียกว่า “โพลิส” Polis มีกษัตริย์และขุนนางปกครองนคร เริ่มใช้ระบอบประชาธิปไตย

• 500 B.C. ศูนย์กลางอยู่ที่ เอเธนส์ แคว้นแอตติก Attica ได้ร่วมกันกับนครรัฐกรีกอื่น ป้องกันการรุกรานจากเปอร์เซีย กลายเป็นยุคทองแห่งเอเธนส์
• 431-404 B.C. สงครามเพโลพอนนีเชียน ระหว่างเอเธนส์ กับสปาร์ตา ผลทำให้ มาซีโดเนีย เข้าครอบครองกรีก สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เรียกว่ายุค “เฮลเลนิสติก” ขยายดินแดนครอบคลุมถึงอียิปต์ และอินเดีย
มรดกที่สำคัญของกรีก
เทพเจ้าแห่งเทือกเขาโอลิมปัส
สถาปัตยกรรม
ชาวกรีกจะให้ความสำคัญกับเทพเจ้า เชื่อว่าพลังธรรมชาติจะให้คุณและโทษได้ อำนาจลึกลับนี้มาจากเทพเจ้าเป็นผู้บันดาล
• วิหารบูชาเทพเจ้า “พาร์เธนอน” Parthenon 500 B.C. สร้างด้วยหินอ่อน หลังคาหน้าจั่ว มีเสาหิน

พระเจ้าอเล็กซานเดอร์
ประติมากรรม
• สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะธรรมชาติ เทพเจ้าจึงเหมือนมนุษย์ งานในยุคแรกจะตรง ๆ แข็งทื่อ
• สมัยคลาสสิคเริ่มมีลักษณะพริ้วไหว และสมัยหลังจะแสดงถึงความปวดร้าว ความทรมานของมนุษย์
จิตรกรรม
• ภาพวาดในยุคแรก นิยมพื้นสีแดง คนสีดำ วาดบนภาชนะ
• ยุคเฮลเลนิสติก มีการนำกระเบื้องสีมาประดับ เรียกว่า โมเสก Mosaic
นาฏกรรม
• เป็นการละครของกรีก ร้องประสานเสียง ในเทศกาลบวงสรวงและเฉลิมฉลองเทพเจ้า เป็นละครประเภทโศกนาฎกรรม และสุขนาฏกรรม
วรรณกรรม
• โฮเมอร์ กวีนักเล่าเรื่องได้แต่ง “อีเลียด” และ “โอดิสซี” เป็นเรื่องเกี่ยวกับสงครามทรอย
นักปราชญ์ที่สำคัญของโลก
• เฮโรโดตุส Herodotus 484-420 B.C.
• โซเครตีส Socrates 470-399 B.C.
• อริสโตเติ้ล Aristotle 384-322 B.C.
• เพลโต Plato 328-247 B.C.

**********************************
อารยธรรมโรมัน


โรมก่อตัวจากหมู่บ้านทางภาคกลางของอิตาลี อุปนิสัยของโรมันคือ ความเคร่งขรึมและสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ อย่างช้า ๆ แต่มั่นคง ความสามารถทางทหารของโรมันอยู่ที่ความอดทนมากกว่ายุทธวิธีที่ฉลาดปราด เปรื่อง
ประมาณ 600 ปี ก่อน ค.ศ. บรรดาผู้อพยพต่างรวมตัวกันตั้งนครรัฐแห่งโรมขึ้น ทางเหนือของโรมติดต่อกับ อีทรูเนีย เป็นที่อยู่อาศัยของพวกที่มีอารยธรรมสูงเรียกว่า อีทรัสกัน ซึ่งเป็นพวกที่วางรูปวัฒนธรรมของชาวโรมันแต่เริ่มแรก
ใน ราว 509 ก่อน ค.ศ. ขุนนางโรมันประสบความสำเร็จในการล้มกษัตริย์อีทรัสกัน และเปลี่ยนแปลงระบอบกษัตริย์มาเป็นสาธารณรัฐปกครองโดยชนชั้นขุนนาง ชนชั้นสูง คือ แพทริเชียน ส่วนชนชั้นต่ำหรือ เพลเบียน นั้น เกือบไม่มีสิทธิทางการเมืองเลย
พวก เพลเบียนค่อย ๆ ยกฐานะของตน เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง พวกเพลเบียนเลือกตัวแทนของตนเรียกว่า ทรีบูน ให้เป็นปากเสียงและเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของตนในรัฐบาลซึ่งคุมโดยแพทริเชียน
450 ปีก่อน ค.ศ. ได้มีการนำกฎหมายเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร คือ กฎหมายสิบสองโต๊ะ กฎหมายนี้ช่วยพิทักษ์บรรดาเพลเบียน ให้พ้นจากอำนาจตามอำเภอใจของชนชั้นแพทริเชียน กฎหมายสิบสองโต๊ะนี้นับว่ามีความสำคัญมากต่อพัฒนาการทางกฎหมายรัฐธรรมนูญของ โรมัน

การปกครอง
รูปสมบูรณาญาสิทธิราช สืบสันตติวงศ์ เริ่มตั้งแต่ออกุสตุสเป็นต้นราชวงศ์ คนที่ดูเสมือนหนึ่งเป็นผู้ฝังระบอบการปกครอง คือ ออกเตเวียน ทำหน้าที่ “ออกุสตุส” ซึ่งมีความหมายว่า “สูงสุด”
ในยุคของออกุสตุสนี้ ได้รับการยกย่องว่า “ Roman s golden Age “ และในสมัยออกุสตุสนี่เอง ที่ฐานะของจักรพรรดิได้รับการยกย่องเชิดชูชึ้นเป็นเจ้า และมีสิทธิเลือรัชทายาทด้วยพระองค์เองด้วย สำหรับในรัชสมัยของพระเจ้าออกุสตุสนี้มีเหตุการณ์สำคัญอันหนึ่งเกิดขึ้นก็ คือ พระเยซูคริสต์ ประสูติที่นครเบธเลเฮม ในมลฑลจูเดียของโรมัน
มรดกสำคัญของโรมัน
• ถนนโรมัน โดยการนำหิน ศิลา มาทำเป็นพื้นถนน สามารถรองรับน้ำหนักของรถม้าได้

• ท่อส่งน้ำ และประตูชัย
• กองกำลังทหารฟาลังส์ เป็นกองทหารรบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในยุโรป ทหารเมื่อออกรบก็จะได้รับค่าจ้าง เมื่อพักรบกลับบ้านประกอบอาชีพดั้งเดิม
• โคลอสเซียม เป็นสนามกีฬาอัฒจันทร์ล้อมรอบ เดิมทีสร้างเพื่อเป็นการพบปะระหว่างรัฐ กับประชาชน ต่อมากลายเป็นสังเวียนการต่อสู้ของทาส หรือพวกกลาดิเอเตอร์ (นักรบ) เป็นลานประหารนักโทษที่ถูกตัดสินประหารชีวิต โดยนำมาสู้กับสิงโต ขณะเดียวกันเป็นที่แข่งม้าศึกด้วย

ลักษณะของโรมันเปรียบเทียบกับกรีก
1. โรมันเข้มงวดเรื่องความยุติธรรม การลงโทษอย่างโหดร้าย ไม่ค่อยมีเมตตา
2. กรีก บูชาเหตุผล แต่โรมันเคารพในอำนาจ
3. กรีก เรียกร้องความรูสึกส่วนตัวและเสรีภาพส่วนบุคคล โรมันให้ความสำคัญพิเศษในเรื่องความสารถควบคุมตัวเอง และความอยู่ในระเบียบแบบแผน
4. กรีก เป็นนักทฤษฎีและศิลปินที่ปราดเปรื่อง ในขณะที่โรมันสนใจทางนิติธรรมศาสตร์และทฤษฎีรัฐศาสตร์
ความเสื่อมของจักรวรรดิโรมัน
เมื่อพระจักรพรรดิคอนสแตนติน ย้ายเมืองหลวงจากตะวันตก ไป ตะวันออก ก็ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกแตกแยกระหว่าง 2 ฝั่ง จักรวรรดิตะวันตก นั้นได้ถูกพวกอนารยชนเยอรมัน (Teutonic) ล้มล้างไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 476 ขณะที่จักรวรรดิตะวันออก มีอายุยืนยาวมาจนถึงสมัยที่ถูกพวกเตอร์กรุกรานในปี ค.ศ. 1453 สำหรับ
สาเหตุความเสื่อมของจักรวรรดิ
1. หลังปี ค.ศ. 180 ไม่มีกำหนดการสืบตำแหน่งไว้ในรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดการแย่งอำนาจในหมู่นายพล
2. การถูกโจมตีจากศัตรูภายนอก และเกิดรัฐอิสระขึ้นตามชายแดนที่ถูกคุกคาม
3. ที่ดินแทบทั้งจักรวรรดิตกอยู่ในเงื้อมมือชนชั้นสูงส่วนน้อยเท่านั้น ชาวนาที่สิ้นเนื้อประดาตัวกลายเป็นโคโลนุส (Colonus) ซึ่งจะได้รับที่ดินชิ้นหนึ่งจากเจ้าของที่ดิน เพื่อทำการเพาะปลูกโดยเสรี แต่จะต้องชดใช้เจ้าของที่ดินด้วยแรงงานของตน เมื่อนานวันเข้าก็เปลี่ยนสภาพเป็นกึ่งทาส (serdom)
4. สงครามกลางเมือง ทำให้กระทบกระเทือนระบบการค้า
จักรพรรดิที่สำคัญของโรมัน

( จูเลียส ซีซาร์ ) รัฐบุรุษสถาปนาตนเองปกครองโรมัน เป็นผู้นำทางทหารที่สำคัญที่สุด สมัยที่เป็นสาธารณรัฐ เป็นต้นกำเนิดคำว่า ไกเซอร์-เยอรมัน ซาร์-รัสเซีย ซีซาร์-โรมัน
1. ซีซาร์ ออกุสตุส (Augustus) 30 ปีก่อน ค.ศ.–ค.ศ. 14 นับเป็น “ยุคทองของโรม”2. ทิเบริอุส (Tiberius) ค.ศ. 14-37 เพิ่มอำนาจจักรพรรดิและลดอำนาจของสภาราษฎร
3. เนโร (Nero) ค.ศ. 54-68 เป็นจักรพรรดิที่โหดเหี้ยม เพราะฆ่าพระมารดา พระอนุชา ชายา 2 องค์ รวมทั้งพระอาจารย์ของพระองค์เองคือ เซเนคา (Seneca) รวมทั้งเป็นผู้ที่ทำการจุดไฟเผากรุงโรม เพียงเพื่อความบันเทิงของตัวเอง ป้ายความผิดให้พวกคริสเตียน และประหารชีวิตเป็นจำนวนมาก จักรพรรดิเนโรปลงพระชนม์พระองค์เอง ใน ค.ศ. 68
4. มาร์คุส ออเรลีอุส (Marcus Aurelius) ค.ศ. 161-180 นับว่าเป็นกษัตริย์พระองค์สุดท้ายที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นจักรพรรดิที่มี 5 พระองค์ (ค.ศ. 96-180) รัชสมัยของพระองค์นี้ถือว่าเป็นสมัยสุดท้ายของ สันติภาพโรมัน (Pax Romana) ซึ่งคงอยู่ระหว่าง 27B.C.–180A.D. นับเป็นปีแห่งสันติสุขโรมัน และเป็นช่วงระยะที่อารยธรรมเฮลเลนิสติคแผ่ขยายออกไปในจักรวรรดิมากที่สุด
5. คอนสแตนติน (Constantine) ค.ศ. 312-337 รวมจักรวรรดิโรมันเป็นจักรวรรดิเดียวกันได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และย้ายเมืองหลวงจากโรมไป ไบแซนติอุม (Byzantium) เปลี่ยนเรียกชื่อใหม่ว่า “คอนสแตนติโนเปิล” (Constantinople) ตามพระนามของพระองค์ (ปัจจุบันคือเมืองอิสตันบุล) โดยเจตนาจะให้เป็นศูนย์กลางของการปกครองดินแดนทั้งภาคตะวันตกและตะวันออก แต่การทั้งนี้กลับทำให้ประชาชนเริ่มรู้สึกแบ่งแยกทางจิตใจ ทางตะวันตกซึ่งมีอิตาลี สเปน โลกยังยึดอารยธรรมโรมันอยู่ (Romanization) แต่ทางตะวันออกซึ่งมีคอนสแตนติโนเปิล และเอเชียโมเนอร์ต่างรับอารยธรรมกรีก (Hellenization) และเมื่อคอนสแตนตินประกาศ “กฤษฎีกาแห่งมิลาน” (Edict of Milan) แล้ว คริสตศาสนาก็สามารถเผยแพร่ในอาณาจักรโรมได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น